จุดเริ่มต้นของเรา แสนสิริ
เราได้จดทะเบียนก่อตั้ง เเสนสิริ เป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2527 บ้าน ในนามบริษัท แสนสำราญ โอสดิ้ง จำกัด โดยมีผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัท คือ กลุ่มจูตระกูล และมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ.2536 บริษัทแสนสำราญ โฮสดิ้ง จำกัด เปิดตัวโครงการอาคารพักอาศัย “บ้านแสนสิริ” ในซอย มหาดเล็กหลวง 2 ถนน ราชดำริ
จากนั้น ในปี พ.ศ.2537 ผู้ถือหุ้นของกลุ่มล่ำซำได้เข้ามาถือหุ้นจำนวนร้อยละ 50 ของทุน จดทะเบียน บริษัท แสนสำราญ โฮลดิ้ง จำกัด และได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท แสนสิริ จำกัด” และได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในนาม “บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)” เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 หลังจากนั้น
เราได้ขยายการประกอบธุรกิจไปยังด้านงานบริหารอาคาร บริหรทรัพย์สิน และการขายโดยจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อดำเนินธุรกิจดังกล่าว ภายใต้ชื่อ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อันส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทครอบคลุมวงจรมากยิ่งขึ้น และส่วนหนึ่งยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มอันเป็นการส่งเสริมโครงการที่อยู่ในการพํฒนาของบริษัทด้วย
วิสัยทัศน์และภารกิจของเรา แสนสิริ
เรามุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเลือกใช้บริการ ซื้อบ้าน
ภารกิจของเราคือ มุ่งมั่นพัฒนาและจัดหาที่พักอาศัย รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของคุณ และพร้อมที่จะดูแลคุณทั้งในวันนี้ พรุ่งนี้ และ ตลอดไป เราจะดำเนินการในฐานะ “ศูนย์รวมการบริการทางอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก” ในประเทศไทย
ด้วยการนำเสนอสินค้าและการบริการที่รวมเป็นหนึ่งเดียว รวมถึงร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อีกทั้งผู้ถือหุ้น คู่ธุรกิจ พนักงาน และชุมชน เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีให้กับทุกคน โดยเราพร้อมที่จะสรรหาสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในทุกๆระดับ เพื่อตอบสนองต่อทุกๆตลาด ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ
กิจกรรมนอกเหนือจากการบริการอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรมเพื่องสังคมของแสนสิริ Corporate Social Responsibility (CSR) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Social Change คือความรับผิดชอบต่อสังคมมุ่งเน้นการช่วยเหลือ ส่งเสริม พัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน เราต้องการเข้าใจปัญหาในทุกมิติ จึงร่วมมือกับทุกฝ่ายโดยไม่เน้นหน่วยงานใดหน่วยงานเดียวที่
สำคัญเราได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานที่มีเจตนารมณ์ เดียวกันคือองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติที่มุ่งสร้างความตระหนักในด้านสิทธิเด็ก เพื่อสร้างหลักประกันให้เด็กทุกคนได้รับสิทธิในด้านต่างๆ และมีชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน เด็กเป็นรากฐานของอนาคต การดูแลสุขภาพ ให้การศึกษาและดูแลความปลอดภัยของพวกเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเราทุกคน
ข่าวของเเสนสิริ ในปี 2564
ปกติแล้วเวลา ‘แสนสิริ’ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ มักจะเน้นจับตลาดกลาง-บน ราคา 3-10 ล้านบาท จึงถือเป็นพอร์ตใหญ่ที่สุด แต่สำหรับปี 2564 ซึ่งยังมีความท้าทายครั้งใหญ่คือ ‘วิกฤตโควิด-19’ ที่ยังส่งผลกระทบและกดดันธุรกิจต่อไป ทำให้แสนสิริได้ปรับแผนใหม่ โดยสิ่งที่น่าจับตามากที่สุดคือประกาศทำ ‘คอนโดแมส’ ในระดับราคา 1 ล้านต้นๆ ถึง 2 ล้าน บ้านจัดสรร
“แสนสิริจะเปิดตัวโครงการในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบ้านของคนทุกกลุ่ม” เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมักจะปรากฏตัวอย่างเป็นทางการปีละครั้งในงานแถลงข่าวประจำปีกล่าว
ในปี 2564 แสนสิริได้วางเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่ไว้ 24 โครงการ รวมมูลค่า 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ในแผนปีนี้แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจกต์ 12 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส, อณาสิริ, สราญสิริ และ บุราสิริ อีกทั้งยังจะมีการขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ลักชัวรีด้วยสินค้าใหม่ ทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว 3 ชั้นภายใต้แบรนด์ใหม่
ด้านคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท อยู่ในเซกเมนต์ Affordable และ Medium เป็นหลัก ซึ่งโครงการคอนโดถือเป็นไฮไลต์ที่สำคัญในปีนี้เพราะจะมีการเปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่ม Young Generation หรืออายุ 18-30 ปีในทำเลคอมมูนิตี้เมือง อาทิ รัชดา, เกษตรฯ, รามคำแหง และบางนา ในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายเริ่มต้นเพียง 1.xx ล้านบาทเท่านั้น
“เราไม่ได้ทำโครงการระดับราคานี้ (1 ล้านต้นๆ ถึง 2 ล้าน) มาเป็น 10 ปีแล้ว” เศรษฐา กล่าว และแม้การทำโครงการแมสจะทำให้แสนสิริเข้าถึงฐานลูกค้ามากขึ้นก็จริง แต่ก็แลกมากับความท้าทายครั้งใหญ่คือ ‘ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ’ ซึ่งในปีที่ผ่านมาพุ่งขึ้นเป็น 30% และปีนี้ตัวเลขก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เผลอๆ จะมากขึ้นด้วยกัน แต่เศรษฐาก็เชื่อว่าความต้องการยังมีอยู่ต่อเนื่อง
และถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีนี้แสนสิริจะนำนำโปรโมชันผ่อนให้ 24 เดือนกลับมาอีกเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ถึงกระนั้นแสนสิริก็วางเป้าหมายยอดขายปี 2564 ไว้ที่ 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้ายอดขายแนวราบ 16,000 ล้านบาท และเป้ายอดขายคอนโดมิเนียม 10,000 ล้านบาท
รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้าโอนโครงการแนวราบ 16,000 ล้านบาท และเป้าโอนคอนโดมิเนียม 11,000 ล้านบาท ขณะที่แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปีอีกถึง 27,700 ล้านบาท
ด้านงบซื้อที่ดินอยู่ที่ 5,000-8,000 ล้านบาท ความน่าสนใจอยู่ที่เศรษฐาระบุว่า วิกฤตโควิด-19 จะทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสายป่านไม่ยาวบางแห่งอาจจะต้องนำโครงการที่มีอยู่ในมือหรือที่ดินเปล่าออกมาขาย ซึ่งจะเป็นโอกาสให้รายใหญ่เข้ามาซื้อ ดังนั้นแสนสิริจึงพร้อมเข้าซื้อโครงการเหล่านี้ซึ่งมีติดต่อมาบ้างแล้ว และได้ซื้อที่ดินเปล่าไปบางแห่งด้วย เเต่งบ้าน
สำหรับในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้จะเป็นปีที่เศรษฐายกให้เป็น ‘อภิมหาวิกฤต’ ที่กระทบไปทั่วโลก และทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวกว่า 6.6% ถึงจะน้อยกว่าปีที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่เศรษฐาบอกว่าวิกฤตนี้สร้างผลกระทบเยอะกว่า แก้ไขได้ยากกว่า ทั้งหนี้ครัวเรือนในระดับสูง กำลังซื้อที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่าจนกระทบการส่งออก
กระนั้นด้วยการวาง 3 แกนหลัก ‘Speed to Market-Customer Centric Strategy-Cash Flow Strategy’ ก็ทำให้แสนสิริปิดปีแห่งความยากลำบากด้วยยอดขายที่ทำได้ตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท สร้างผลงานปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยไปถึง 35 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 64,600 ล้านบาท มียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าไปถึง 45,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 45% เกินเป้าหมายและสร้างประวัติศาสต์การโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริที่เคยทำได้ในรอบ 36 ปี
และทำให้มีเงินสดกลับมาในมือ (Cash is King) ลดอัตราหนี้สินและมีสภาพคล่องในมือกว่า 15,000 ล้านบาท ส่งผลให้ Gearing Ratio ลดลงจาก 1.7 อยู่ที่ 1.3
อย่างไรก็ตามเศรษฐากล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งยังมีการระบาดของโควิด-19 จึงยังมีความน่าเป็นห่วง เพราะถ้าไม่มีการซื้อขายบ้าน ธุรกรรมหลายๆ อย่างก็จะหยุดชะงักไปด้วย ทั้งการซื้อวัสดุก่อสร้าง สี อิฐ หิน ปูน ทราย เฟอนิเจอร์ เครื่องครัว หลอดไฟ สุขภัณฑ์ ฯลฯ ก็จะโดนกระทบทั้งหมด อสังหาริมทรัพย์ถือว่าเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ให้ Multiplier Effect สูงสุด
ทางรัฐจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ โดยการใช้มาตรการกระตุ้นในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน หักลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยค่าใช้จ่ายจากการผ่อนบ้านในอัตราที่สูงขึ้น ขยายระยะเวลาการเช่าระยะยาวจาก 30 ปีเป็น 99 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมไปถึงเสนอให้มีการยกเลิกมาตรการ LTV อีกด้วย บ้าน